ตัวอย่างทดลองอ่าน "เก้าเงาอาฆาต"
- Pearwa Waraphan
- 14 มี.ค.
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 18 พ.ค.
บทนำ
หนีตาย
ร่างบางวิ่งเท้าเปล่ากระเสือกกระสนไปตามทางที่ทั้งมืดและแคบ ทางเดินเย็นเฉียบกับกลิ่นอับชื้นลอยเข้ามาแตะจมูกเป็นระยะ ประตูขนาดใหญ่เปิดโล่งตรงหน้า แม้มองเห็นแสงสว่างภายนอกเพียงริบหรี่แต่เด็กสาวรู้สึกราวกับว่ามันคือแสงสว่างจากสรวงสวรรค์
เด็กสาวรีบสาวเท้าเล็ก ๆ ให้วิ่งเร็วขึ้นอีกแล้วพุ่งตัวผ่านประตูนั้นออกไป อากาศบริสุทธิ์พร้อมไอดินกลิ่นฝนที่ไม่เคยได้กลิ่นมานานนับสิบปีลอยเข้ามาปะทะร่างอันบอบบางที่อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีขาว ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ข้อมือทั้งสองข้างมีรอยแผลที่มีเลือดซิบออกมา
รอบข้างเป็นป่ารกทึบมีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์ที่ส่องผ่านแมกไม้ลงมาพอให้แสงสว่าง แม้ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนแต่เด็กสาวก็ยังคงวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิตราวกับกำลังหนีความตายที่กำลังคืบคลานตามมา
เมื่อวิ่งมาได้สักพักจนสองเท้าเริ่มก้าวไม่ออก เด็กสาวก็ตัดสินใจหยุดยืนหอบตัวโยนพลางใช้มือข้างหนึ่งค้ำยันกับต้นไม้ใหญ่ กวาดสายตามองรอบตัวอย่างพยายามหาทางออกจากป่าแห่งนี้แต่กลับพบเพียงแต่ความมืดมิด
ทันใดนั้นพื้นดินกลับสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหวจนร่างบางทรงตัวไม่อยู่ล้มคว่ำลงกับพื้นพร้อม ๆ กับเสียงคำรามของอะไรบางอย่างดังขึ้นมาจากด้านหลัง
เด็กสาวหันขวับกลับไปมองสุสานที่เพิ่งวิ่งหนีตายออกมา แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อมีร่างของชายชุดดำหลายคนเดินถือคบไฟกำลังออกตามหาเธอ
เด็กสาวกัดฟันแล้วออกวิ่งอีกครั้ง แม้ตอนนี้ฝ่าเท้าจะเต็มไปด้วยแผลจากการวิ่งเป็นเวลานานแต่กลับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด ในสมองคิดเพียงหาวิธีหนีเอาตัวรอดจากนรกแห่งนี้ แต่แล้วก็ต้องตกใจจนแทบกรีดร้องออกมาเมื่อมีมือปริศนาฉุดรั้งร่างของเด็กสาวเอาไว้
เด็กสาวพยายามดิ้นสุดแรงในขณะที่ถูกฝ่ามือหยาบของอีกฝ่ายปิดปากปิดจมูก ส่วนท่อนแขนกำยำกอดร่างของเด็กสาวเอาไว้แล้วลากร่างเล็กมาซ่อนที่หลังต้นไม้ใหญ่เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายชุดดำถือคบเพลิงเดินมาทางนี้พอดี
“ผมเอง” ชายหนุ่มกระซิบข้างหูเด็กสาวแผ่วเบา เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคยเด็กสาวจึงมีท่าทีอ่อนลง ชายหนุ่มจึงคลายมือออก
ทั้งสองยืนตัวแข็งทื่อพยายามทำตัวเองให้ลีบเล็กที่สุดเพื่อหลบซ่อนอยู่หลังต้นไม้รอจนชายชุดดำเดินผ่านไป ชายหนุ่มจึงเอ่ยต่อ
“หนีไปทางนั้นแล้วจะเจอถนน” ชายหนุ่มชี้มือไปทางซ้าย “จำไว้ว่าไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรห้ามหันหลังกลับมาเด็ดขาด”
“ขอบคุณมากนะคะ” เด็กสาวมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาซาบซึ้ง เขาสวมชุดสูทสีดำ สวมหมวกสักหลาดสีดำตามสมัยนิยม เด็กสาวไม่รู้ชื่อของเขา แต่ไม่มีเวลามาทำความรู้จัก หรือร่ำลากัน
เด็กสาวออกวิ่งไปตามทางที่ชายหนุ่มบอก เสียงคำรามของบางอย่างดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เสียงของมันอยู่ใกล้ราวกับว่ามันกำลังวิ่งตามเด็กสาวมาติด ๆ
นอกจากเสียงฝีเท้าของตัวเองเด็กสาวกลับได้ยินเสียงสวบสาบของฝีเท้าใครบางคนวิ่งมาตามทางจนต้องหันกลับไปมอง แต่แล้วเธอก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อมีร่างของชายชุดดำกำลังวิ่งตามเธอมา ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นจ้องมองมาที่เธอราวกับอสรพิษกำลังจ้องมองเหยื่อ
ร่างชายชุดดำคนนั้นส่งเสียงคำรามสะเทือนเลือนลั่นก่อนที่ร่างของเขาจะค่อย ๆ ยืดตัวสูงขึ้น ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของปีศาจ ดวงตาสีแดงฉาน ฟันแหลมเรียงเต็มปาก แขนที่ยาวกว่าลำตัวหลายเท่าปัดป่ายต้นไม้สูงใหญ่ให้พ้นทัศนวิสัยแล้วค่อย ๆ เอื้อมมือมาหมายจะคว้าร่างของเด็กสาว
ปัง !
เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับกระสุนที่พุ่งเข้าเจาะร่างของปีศาจ มันหยุดวิ่งก่อนจะหันไปหาผู้ลั่นไก ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำยืนจังก้ารออยู่แล้ว เขารีบคว้าคบเพลิงขึ้นมาแล้วจุดไฟก่อนจะโยนใส่ร่างของปีศาจตนนั้น
มันส่งเสียงคำรามออกมาแล้วกลายร่างกลับไปเป็นชายชุดดำที่ร่างทั้งร่างลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ ร่างนั้นดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด กรีดร้องออกมาด้วยความทรมานก่อนที่แน่นิ่งขาดใจตายไปในที่สุด ทันใดนั้นกลับมีก้อนพลังงานสีดำลอยออกจากร่างของชายชุดดำแล้วมลายหายไปในอากาศ
“รีบไป รีบหนีไปซะ แล้วอย่าได้กลับมาเหยียบที่นี่อีก” ชายหนุ่มตะโกนลั่น เด็กสาวพยักหน้ารับแล้วเริ่มออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตอีกครั้ง เพียงไม่กี่อึดใจเธอก็พาตัวเองลัดเลาะป่าฝ่าดงพงไพรมาที่ถนนใหญ่ได้สำเร็จ
เด็กสาวยืนหอบหายใจถี่ หูแว่วเสียงเครื่องยนต์ดังใกล้เข้ามา เด็กสาวตัดสินใจใช้แรงเฮือกสุดท้ายหอบร่างของตัวเองพุ่งตัวไปยืนกลางถนน
รถยนต์หรูที่นำเข้าจากยุโรปโฉบไปบนถนนด้วยความเร็วสูง แต่กลับต้องเหยียบเบรกแทบไม่ทันเมื่อเห็นร่างของเด็กสาวยืนขวางทาง
“แม่หนู ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้คนเดียว เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ ?” หญิงสาวท่าทางใจดีเดินลงมาจากรถพลางเอ่ยถามเด็กสาวที่ยืนตัวสั่นเทาราวกับลูกนก
เมื่อเห็นว่าเด็กสาวมีท่าทางคล้ายคนสติแตกหันรีหันขวางราวกับหวาดกลัวอะไรบางอย่าง เนื้อตัวมอมแมม และมีบาดแผลตามตัวจึงตัดสินใจพยุงตัวเด็กสาวขึ้นรถแล้วขับออกไปส่งโรงพยาบาล
เด็กสาวหันกลับไปมองในป่าเธอสังเกตเห็นกลุ่มควันสีดำลอยเอื่อยอยู่ในอากาศเป็นสัญญาณว่ามันยังคงอยู่ตรงนั้น และหากตาไม่ฝาด เธอเห็นว่ากลุ่มควันนั้นมีดวงตาสีแดงฉาน แล้วกำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยความอาฆาต !
บทที่ 1
แมวหายกับคนตาย
รองเท้าหนังสีดำขัดมันวาวเดินย่ำไปบนน้ำโสโครกที่ปะปนกับน้ำขังบนพื้นถนน ร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีเทาทำจากเส้นใยขนสัตว์อย่างดีด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตคอปกกว้างสีขาวตัดกับเนกไทสีเทาเข้มเข้าชุดกัน ถ้ามองจากภายนอกหลายคนคงคิดว่าเขาเป็นผู้รากมากดีมีตำแหน่งรับราชการ หรือทำงานตำแหน่งสูงในสำนักงานที่ไหนสักแห่ง แต่เขาเป็น ‘นักสืบ’
แม้จะเป็นเพียงนักสืบมือสมัครเล่น ไม่ได้มีชื่อเสียงเลื่องลือ แต่เขาก็สามารถไขคดีสำเร็จมาแล้วหลายคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีของหาย จับชู้ หรือคดีคนหายในหมู่บ้าน ‘สุขสมบูรณ์’ แห่งนี้ก็ผ่านมือเขามาทั้งหมด ใครจะไปรู้ว่าในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้กลับมีคดีให้เขาทำแทบทุกเดือนและวันนี้เขาก็เดินทางมารับภารกิจใหม่ที่สำนักงาน
สำนักงานที่ว่าคือเรือนไทยหลังงามหลังคาเป็นทรงปั้นหยาตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแมกไม้น้อยใหญ่ให้ความร่มรื่น เรือนไทยหลังนี้ดูกลมกลืนกับบ้านหลังอื่น ๆ จนไม่มีใครล่วงรู้ว่าที่นี่คือสำนักงานสืบ
“สวัสดีครับคุณสุภาพสตรี” เขาค้อมศีรษะให้กับหญิงสาวใส่แว่นตาหนาเตอะที่กำลังง่วนอยู่กับเอกสารกองโต เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้มาเยือนเธอก็รีบลุกขึ้นทักทาย ป้ายชื่อตั้งโต๊ะบอกชื่อและตำแหน่งเจ้าของโต๊ะที่ยืนส่งยิ้มหวานมาให้ ศรีสอางค์ นุ่มสะอาด เลขานุการ
ชายหนุ่มกวาดสายตาสำรวจเอกสารบนโต๊ะเห็นแฟ้มคดีมากมายทั้งที่สะสางเสร็จแล้วกับที่ยังไม่ได้รับการไขคดีกองรวมกันแทบจะท่วมศีรษะจนแทบมองไม่เห็นเครื่องพิมพ์ดีดที่ตั้งอยู่มุมโต๊ะ
“สวัสดีค่ะคุณเก้าแต้ม” หญิงสาวในชุดกระโปรงผ้าแพรสีชมพูยาวถึงเข่าสม็อกเอวอวดสัดส่วนเอ่ยพลางก้มศีรษะให้พนักงานรุ่นน้อง ใบหน้าสวยหวานราวกับตุ๊กตานั้นช่างขัดกับแว่นตากรอบสีดำหนาเตอะที่เกาะอยู่ที่จมูก
‘เก้าแต้ม’ ไม่ใช่ชื่อ เพียงแต่เป็นโค้ดเนมที่ใช้เรียกนักสืบในสำนักงานสืบ ‘แมวสยาม’ ที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ ชื่อตามบัตรประชาชนของเขาคือ วิรุฬห์ อัศวนรกานต์
“บอสกำลังรอคุณอยู่พอดีเลยค่ะ” เธอพูดพลางคว้าเอกสารหนึ่งในกองบนโต๊ะแล้วเดินนำวิรุฬห์ไปที่หน้าห้องห้องหนึ่ง
หญิงสาวเคาะประตูสองสามครั้งแล้วเปิดประตูไม้สักเข้าไป กลิ่นบุหรี่ลอยสวนออกมาทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องพร้อมควันโขมงลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบห้อง
เจ้าของควันบุหรี่ในเสื้อโปโลเข้ารูปลายทางสีน้ำเงินเผยให้เห็นกล้ามแขนเป็นมัด ๆ นั่งเอกเขนกพร้อมยกรองเท้าหนังสีดำขึ้นพาดบนโต๊ะด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ
วิรุฬห์เหลือบตามองป้ายชื่อตั้งโต๊ะบอกชื่อและตำแหน่งเจ้าของโต๊ะ เขาคือ ‘บอส’ ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าประจำสำนักงานนักสืบแมวสยาม นิวัตต์ ตั้งใจสืบ
แม้จะรู้จักกันมานานหลายเดือนแต่เขาก็อดนึกขันในใจไม่ได้กับนามสกุลที่ไม่รู้ว่าเป็นนามสกุลจริง ๆ หรือตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อใช้ในวงการนักสืบกันแน่
เขากวาดสายตามองเหรียญกล้าหาญ เหรียญราชการชายแดน เหรียญราชนิยมบ่งบอกว่าบอสคนนี้เคยรับราชการทหารและเคยผ่านอะไรต่อมิอะไรมามากกว่าที่คิด
“ผลงานที่ผ่านมาของคุณน่าสนใจทีเดียว เราจึงมีความเห็นว่าจะบรรจุคุณเป็นพนักงานประจำในเร็ว ๆ นี้” เสียงพูดเรียกความสนใจของวิรุฬห์ที่กำลังเหม่อลอยคิดสะระตะให้หันกลับมาฟังบอสอย่างตั้งใจ “ที่ผมเรียกคุณมาเพราะมีคดีให้คุณรับผิดชอบ”
“ขอบคุณในความกรุณาครับ ผมหวังว่าคดีต่อไปจะไม่ใช่คดีจับชู้อีก ลูกปืนที่เฉียดหน้าผมของคุณนายเสนีย์ที่จับได้ว่าสามีมีเมียน้อยยังทำผมผวาไม่หาย” แค่พูดเหงื่อเม็ดโตก็ไหลออกมาจากไรผมที่ถูกจัดทรงมาเป็นอย่างดีด้วยน้ำมันมะพร้าวเคี่ยวกับขี้ผึ้ง
“สบายใจได้ ครั้งนี้ผมจะให้คุณทำคดีแมวหาย” ริมฝีปากของนิวัตต์เหยียดยิ้ม หยิบบุหรี่ออกจากปากพลางจ้องมองมาที่วิรุฬห์อย่างรอดูปฏิกิริยาว่าลูกน้องจะทำอย่างไร
“คดีแมวหาย ?” วิรุฬห์ทวนคำอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ผมเห็นคุณมีคดีกองโตที่ยังไม่ได้ทำตั้งแยะ แต่ทำไมถึงให้ผมทำคดีแมวหาย” จากท่าทางมาดเข้มแปรเปลี่ยนเป็นท่าทางยียวนกวนประสาททันทีที่ได้ยินคำพูดของบอส
“นี่ถือว่าเป็นคดีเรือธง ถ้าคุณตั้งใจและไขคดีนี้ได้สำเร็จคุณจะได้บรรจุเป็นพนักงานประจำของที่นี่” นิวัตต์ยัดบุหรี่เข้าปากแล้วพ่นควันออกมาอีกโขมง
ฟังจบวิรุฬห์ถึงกับหันไปสบสายตากับศรีสอางค์ที่นั่งอยู่ที่มุมห้องแล้วส่งสายตาอ้อนราวกับลูกแมววอย่างขอความช่วยเหลือ เพราะปกติหญิงสาวจะเอ็นดูเขาเหมือนน้องชายแล้วจะคอยพูดเข้าข้าง พูดโน้มน้าวใจ หรือถึงขั้นช่วยเสนอคดีที่เหมาะกับเขาบ่อย ๆ แต่คราวนี้หญิงสาวกลับส่งสายตาว่างเปล่ามาให้
หลังจากออกมาจากห้องของบอส วิรุฬห์ก็หยิบเก้าอี้มานั่งข้างศรีสอางค์พลางพลิกเอกสารเกี่ยวกับคดีแมวหายในมือไปมาอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับมันต่อ
“หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัยเกิดเหตุ ‘แมวหาย’ อย่างไม่ทราบสาเหตุ ปัจจุบันมีแมวหายไปแล้วกว่า 9 ตัว ได้แก่ ด่าง แมวเพศเมียอายุ 10 ปี เป็นแมวสายพันธุ์วิเชียรมาศมีจุดเด่นคือมีแผลจากการถูกสุนัขกัดที่ขาหน้าและขาหลังข้างขวา แต้ม แมวเพศผู้อายุ 5 ปีเป็นแมวสายพันธุ์เก้าแต้ม จุดเด่นคือมีจุดดำที่ใบหน้าด้านขวา ใครพบเจอมีรางวัลนำส่งให้ 20 บาท” ชายหนุ่มอ่านออกเสียงเอกสารในมือไม่วายบ่นอุบ
“ดูสิคุณศรี บอสของคุณยัดคดีสำหรับมือสมัครเล่นมาให้ผมอีกแล้ว เมื่อไหร่ผมจะได้ทำคดีใหญ่ ๆ อย่างคดีฆาตกรรมเสียที”
“เรื่องแบบนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไปสิคะ สั่งสมประสบการณ์เรื่อย ๆ แล้วคดีก็จะเข้ามาหาเราเองค่ะ แต่ก่อนบอสก็ได้ทำคดีหมาแมวหายออกจะบ่อย ถึงขั้นต้องปีนขึ้นต้นไม้เพื่อไปจับแมวก็มีนะคะ กว่าทั้งคนทั้งแมวจะลงมาจากต้นไม้ได้กินเวลาหลายชั่วโมงเลยค่ะ” หญิงสาวพูดพลางกดแป้นพิมพ์ด้วยความเร็วอย่างเคยชิน
“ว่าแต่คุณศรีทำงานที่นี่มากี่ปีแล้วนะครับ ?” หญิงสาวหยุดพิมพ์ เอียงศีรษะพลางทำท่านับนิ้วแล้วเอ่ยตอบ
“สิบห้าปีเห็นจะได้แล้วค่ะ” ในน้ำเสียงมีความภูมิใจเจืออยู่
“นี่คุณทนบอสมาได้ถึงสิบห้าปีแล้วหรือนี่” ชายหนุ่มเบิกตาโตราวกับไข่ห่านทำเอาหญิงสาวทำท่าป้องปากหัวเราะอย่างชอบใจ
“แม้เรื่องงานบอสจะเคี่ยวไปหน่อย แต่เรื่องอื่นบอสก็น่ารักดีนะคะ บอสเห็นว่าคุณประสบการณ์ยังน้อยจึงมอบหมายงานที่ไม่อันตรายให้ จะได้ไม่ต้องวิ่งหนีลูกปืนเหมือนคราวก่อนไม่ดีหรือคะ” ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกชื่นชมเจืออยู่ในน้ำเสียงนั้น
จริงอยู่ที่นิวัตต์เป็นนักสืบเอกชนที่เก่งจนทางการต้องพึ่งพาให้ช่วยทำคดีใหญ่ ๆ แต่สำนักงานสืบแห่งนี้ก็ใช่ว่าจะมีนักสืบหลายคน เพียงเจียดคดีสำคัญ ๆ มาให้มือสมัครเล่นอย่างเขาได้ลองฝีมือบ้างจะเป็นไร แต่บอสของเขากลับเก็บคดีพวกนั้นเอาไว้ในกองดอง
วิรุฬห์ออกมาจากสำนักงานช่างบ่าย ตัดสินใจออกไปสอบถามเจ้าของแมวที่หายไปทีละตัวจนตะวันตกดิน แต่ก็แทบไม่ได้ความคืบหน้าของคดี เหลือเจ้าของแมวอีกประมาณ 2-3 รายที่เขาต้องไปสอบถาม แต่ช่วงนี้สถานการณ์บ้านเมืองไม่ค่อยสู้ดี รัฐบาลจึงประกาศกฎอัยการศึก ทำให้เขาต้องกลับบ้านเร็วขึ้นและไม่สามารถไปกินดื่มที่โรงเหล้าได้เหมือนอย่างที่เคยทำ
วิรุฬห์เดินผ่านตลาดและสถานีรถไฟสวรรคโลกไปบ้านของตัวเอง บ้านพักใกล้สถานีรถไฟเป็นบ้านสไตล์โคโลเนียล2 ชั้นเดียวที่ผสมผสานความเป็นตะวันตกกับความเป็นพื้นถิ่นเข้ากันอย่างลงตัว บ้านหลังนี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวโอบล้อมด้วยต้นไม้สูงใหญ่นานาพันธุ์บ่งบอกถึงนิสัยส่วนตัวของเจ้าของที่ไม่ชอบสุงสิงกับใคร
ตระกูลของวิรุฬห์เป็นผู้กว้างขวางในจังหวัดนี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับที่ดินมาหลายทศวรรษ มีที่ดินในครอบครองแทบจะทุกพื้นที่ในอำเภอนี้ ที่ดินใกล้สถานีรถไฟนี้ก็เป็นหนึ่งในที่ดินของตระกูล เขาจึงถือวิสาสะยึดที่นี่มาเป็นของตนเองและอาศัยอยู่มานานหลายปี
ก่อนนอนวิรุฬห์หยิบสมุดเล่มเล็กที่ตนเองใช้จดรายละเอียดตอนไปสอบถามเจ้าของแมวแต่ละตัวเพื่อวิเคราะห์และวางแผนว่าพรุ่งนี้เขาจะเริ่มสืบจากตรงไหนก่อน
จู่ ๆ แมวจะหายไปมากถึง 9 ตัวแบบนี้อาจมีอะไรแอบแฝง แต่ไม่ว่าจะอ่านทวนสักกี่ครั้ง นักสืบหนุ่มกลับไม่เจอจุดเชื่อมโยงใด ๆ
วิรุฬห์คิดสะระตะไปเรื่อยจนเผลอหลับไป สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงเคาะประตูไม้ดังสนั่นจนรู้สึกราวกับบ้านทั้งหลังกำลังสั่นสะเทือน เขากลัวว่าคนที่อยู่หลังประตูจะออกแรงเคาะจนประตูบ้านพังเสียก่อนจึงตัดสินใจตะโกนออกไป
“เออ มาแล้ว ๆ” เสียงพูดของวิรุฬห์ทำให้เสียงเคาะประตูหยุดลง
เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบกับเด็กวัดที่วิรุฬห์จ้างให้คอยเป็นหูเป็นตาอย่างลับ ๆ เขาใช้เงินจ้างเด็กวัยรุ่นทั่วอำเภอเพื่อใช้เป็นลูกสมุนคอยสอดส่องเป้าหมายบ้าง สืบหาเบาะแสบ้าง บางครั้งเด็กพวกนี้ก็นำพาคดีมาให้ เขาได้แต่หวังว่าจะมีคดีใหญ่มาถึงมือเข้าสักวัน แล้วสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมานานก็มาถึง
“มีศพแมวกับคนตายครับ คุณต้องรีบไปเดี๋ยวนี้”
ท่าทางของเด็กวัดที่ดูตื่นเต้นและสายตาที่ดูประหวั่นพรั่นพรึงนั้นทำให้วิรุฬห์ต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเด็กชายไปตามตรอกแคบ ๆ ที่บัดนี้คลาคล่ำไปด้วย ‘ไทยมุง’ ที่ยืนล้อมรอบที่เกิดเหตุ กลิ่นคาวของเลือดลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณชวนให้คลื่นเหียนอาเจียน
“ขอทางด้วยครับ” วิรุฬห์แทรกร่างใหญ่ของตนเองเข้าไปในหมู่ผู้คนแล้วเดินลอดผ่านเทปกั้นเขตสีเหลืองดำเข้าไปในที่เกิดเหตุด้วยท่าทางทะมัดทะแมง
“ผมเป็นที่ปรึกษาพิเศษจากสำนักงานสืบแมวสยามครับ” วิรุฬห์แนะนำตัวเองกับชายหัวล้านในชุดเครื่องแบบ
“อ้อ คุณนักสืบนี่เอง” เจ้าหน้าที่วัยกลางคนจดจำใบหน้าหล่อเหลากับการแต่งตัวที่ดูภูมิฐานของนักสืบคนนี้ได้ดี เพราะปกติแล้วนักสืบจะต้องแต่งตัวและทำตัวให้กลมกลืนกับทุกสถานที่ แต่นักสืบหนุ่มคนนี้กลับใส่สูทผูกเนกไทเดินไปเดินมาทั่วทุกแห่งหน แถมใบหน้าคมคายกับรูปร่างสูงโปร่งนั้นยังดึงดูดสายตาผู้พบเห็น หากมีคนจำได้อาจเป็นอุปสรรคในการสืบคดี
แต่หารู้ไม่ว่าใบหน้าหล่อเหลาของนักสืบหนุ่มกลับเป็นแต้มต่อช่วยทลายกำแพงในใจคนมานักต่อนัก ทั้งพยานที่เขาต้องไปสอบถามและตามสืบ คนเหล่านั้นไม่ได้ตั้งใจจะตอบคำถามเขาด้วยซ้ำแต่กลับเออออห่อหมกยอมทำตามไปเสียทุกอย่างเพราะมัวแต่มองใบหน้าหล่อ ๆ ของเขาจนเพลิน
“เกิดอะไรขึ้นครับ ?” เสียงพูดคำหลังของวิรุฬห์ถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อเขาเหลือบไปเห็นเลือดสีแดงสดที่สาดกระเซ็นไปทั่วพร้อม ๆ กับซากแมวตายนับสิบตัวและตรงกลางนั้นมีร่างของชายชราศีรษะขาดสวมเสื้อผ้ามอมแมมนอนสิ้นลมหายใจอยู่
“ก็อย่างที่คุณเห็น พบศพชายไร้บ้าน สภาพศพแขนและขาหลุดออกจากร่างกระจัดกระจายราวกับถูกสัตว์รุมทึ้ง ข้างศพมีซากศพแมวกระจายเกลื่อนที่พื้นถึงเก้าตัว” เจ้าหน้าที่วัยกลางคนปล่อยให้นักสืบหนุ่มเดินดูสถานที่เกิดเหตุอย่างวางใจ เพราะเคยร่วมงานกันมาแล้วหลายคดีจึงไม่มีข้อกังขาในฝีมือของอีกฝ่าย ยินดีเสียด้วยซ้ำที่ได้นักสืบหนุ่ม ๆ มาช่วย เพราะลำพังเจ้าหน้าที่ใกล้เกษียณแบบเขาจะให้ไปวิ่งตามจับคนร้าย หรือเดินทางไปทั่วเพื่อตามหาเบาะแสก็คงฝืนสังขารทำไม่ไหวแล้ว
กลิ่นเหม็นของซากศพจำนวนมากทำให้วิรุฬห์พยายามกลืนก้อนอาหารเย็นของเมื่อวานที่พร้อมจะพุ่งออกจากปากกลับเข้าไปแล้วเดินสำรวจดูซากศพแมวทีละตัว เขาจำได้ทันทีว่าทุกตัวคือแมวที่หายไปที่เขาเห็นในเอกสาร
สภาพศพของแมวทุกตัวตายในสภาพอ้าปากค้าง น้ำลายฟูมปาก แขนและขาแข็งเกร็งบ่งบอกว่าก่อนตายแมวผู้น่าสงสารเหล่านี้ล้วนได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัส !
“เมื่อกี้คุณบอกว่ามีแมวตายเก้าตัว แต่ผมนับได้ทั้งหมดแปดตัว” วิรุฬห์หันไปเอ่ยถามเจ้าหน้าที่หลังจากกวาดสายตามองรอบ ๆ จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีศพแมวตัวใดรอดสายตา
“มีหนึ่งตัวที่รอดครับ ตอนนี้มันถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล”
-------------------------------------------------------------------------
ใครอยากอ่านเรื่องเต็มสามารถสั่ง Pre-Order "เก้าเงาอาฆาต" ได้ที่เพจ Thriller book เท่านั้น พิเศษ ! ลดเหลือ 159 บาท จาก 175 บาท สั่งได้ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. - 26 มี.ค. 2568 (จัดส่ง 8 เมษายน 2568 เป็นต้นไป)
พิเศษ! 20 ออเดอร์แรกจะได้รับการ์ดเคลือบโฮโลแกรมสุดปังจากสำนักงานสืบแมวสยาม !
"นักสืบแมวสยาม" มีทั้งหมด ๖ เรื่องมาร่วมไขคดีปริศนาไปกับหนุ่มนักสืบทั้ง ๖ คนที่จัดจ้านที่สุดในสยามประเทศปี ๒๕๐๐ หลากเรื่องหลากรสชาติที่จะทำให้คุณเพลิดเพลินและร่วมไขคดีไปกับพวกเขาในสำนักงานสืบแมวสยามได้แล้ววันนี้

Comments